วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การเข้าชั้นเรียน ครั้งที่ 2

15 พฤศจิกายน 2556

กิจกรรมการเรียนการสอน
  •  อาจารย์ชี้แจงเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้

จิตพิสัย                           10        คะแนน
งานเดี่ยว(วิจัย)                10        คะแนน
งานกลุ่ม(นำเสนอ)         20        คะแนน
บันทึกอนุทิน(Blog)       20        คะแนน
        โทรทัศน์ครู                   10        คะแนน
       สอบกลางภาค                15        คะแนน
       สอบปลายภาค                15        คะแนน
  •         อาจารย์สอนทฤษฎี เรื่อง  เด็กที่มีความต้องการพิเศษ


ความหมาย
     1.ทางการแพทย์ >> เรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า เด็กพิการ
            *เด็กผิดปกติ
                *มีความบกพร่อง (ร่างกาย)
                *สูญเสียสมรรถภาพ (สติปัญญา และ จิตใจ)
     2.ทางการศึกษา
            **เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง
               ** ต้องจัดการศึกษาให้แตกต่างจากเด็กปกติ ทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการใช้และประเมินผล
สรุปความหมายของเด็กพิเศษ
1.             เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร จากการให้ความช่วยเหลือ และการสอนปกติ
2.             มีสาเหตุมาจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
3.             จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัดและฟื้นฟู
4.             การจักการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
            แบ่งเป็น 2 ประเภท
            กลุ่มเด็กทีมีลักษณะทางความสามารถสูง
            ++ มีปัญญาเลิศ (ทางสตปัญญา)
            กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางบกพร่อง
            กระทรวงแบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1.บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น 
2.บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 
3.บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 
4.บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ 
5.บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 
6.บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 
7.บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ 
8.บุคคลออทิสติก 
9.บุคคลพิการซ้อน


1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ( Childdren with lntellectual Disabilities )
  ***  หมายถึง เด็กที่มีระดับสิตปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับเด็กในระดับอายุเดียวกัน
       มี 2 กลุ่ม คือ >> เด็กเรียนช้า


                        >> เด็กปัญญาอ่อน
- เด็กเรียนช้า 
      1. สามารถเรียนในห้องเรียนปกติได้
      2. เรียนช้ากว่าปกติ
      3. ขาดทักษะการเรียนรู้
      4. มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
      5. ระดับสติปัญญา IQ 71-90 (พัฒนาไอคิวได้)
           สาเหตุของการเรียนช้า
     ภายนอก
          - เศรษฐกิจครอบครัว
          - การสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
          - สภาพด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
          - การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
          - วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
      ภายใน
          - พัฒนาการช้า
          - การเจ็บป่วย


   -เด็กปัญญาอ่อน
         -เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
          -แสดงลักษณะเฉพาะ คือ IQต่ำ
          -ความสามารถในการเรียนรู้น้อย
          -มีความจำกัดทางด้านทักษะ
          -มีพัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
          -มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
แบ่งได้ 4 กลุ่ม  (ตามระดับ IQ)
          1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
               **ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
          2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
               **ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัด การช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรเบื้องต้นง่ายๆ
          ((เด็ก 2 กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R. Custodial Mental Retardation))
          3.เด็กปัญญาอ่อนปานกลาง IQ 35-49
               พอฝึกและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้

เรียกโดยทั่วไปว่า ((T.M.R. Trainable Mentally Retardation))
          4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
               เรียนในชั้นประถมได้ ฝึกงานง่ายๆได้ 

เรียกโดยทั่วไปว่า ((E.M.R. Educable Mentally Retardation))

**ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา**
         -ไม่พูด/พูดได้ไม่สมวัย
          -ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
          -ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
          -ทำงานช้า
          -รุนแรงไม่มีเหตุผล
          -อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
          -ช่วยตัวเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน


2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)
     ++เด็กบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หรือสูญเสียทางการได้ยิน เป็นเหตุให้ฟังเสียงต่างๆไม่ชัดเจน แบ่งเป็น 2 ประเภท


     1.   เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟังจำแนกได้ 4 กลุ่มดังนี้


          1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
               เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบ เสียงจากที่ไกล
          2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
               -เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง3-5ฟุต ไม่เห็นหน้าผู้พูด
               -จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
               -มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเบา เสียงผิดปกติ
          3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
               -เด็กจะมีปัญหาการรับฟังเข้าใจคำพูด
               -เมื่อพูดกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
               -มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสีบงพร้อมกัน
               -มีพัฒนาการทางภาษา และการพูดช้ากว่าปกติ
               -พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนก็ไม่พูด
           4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
               -เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง และการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
               -ได้ยินเฉพาะเสียงที่ใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
               -การพูดด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
               -เด็กจะมีปัญหาการแยกเสียง
               -เด็กมักพูดไม่ชัด และมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด

2. เด็กหูหนวก
          -เด็กที่สูญเสียการได้ยินมาก ถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
          -เครื่องช่วยฟัง ไม่สามารถช่วยได้
          -ไม่สามารถเข้าใจ หรือใช้ภาษาพูดได้
          -ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป


++ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน++
          -ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
          -ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
          -พูดไม่ถูกหลักไวยกรณ์
          -พูดด้วยเสียงแปลง มักเปล่งเสียงสูง
          -พูดด้วยเสียงต่ำ หรือเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
          -เวลาฟังมักจะมองปากผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
          -รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
          -มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดด้วย


3. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairment)

                 -เด็กที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง
                -มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
                 -สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
                 -มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา (คนปกติ120องศา)


     แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. เด็กตาบอด 
           -เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
           -ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆในการเรียนรู้
           -มีสายตาข้างดี มองเห็นในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาถึงบอดสนิท
           -มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา


2.  เด็กตาบอดไม่สนิท
           -เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
           -สามารถมองเห็นได้บ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
           -เมื่อทดสอบสายตาข้างดี จะอยู่ในระดับ 6/18 , 20/60 , 6/60 , 20/200
           -มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา

         ** ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น** 


          -เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
          -มองเห็นสีที่ผิดไปจากปกติ
          -มักบ่นว่าปวดหัว คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
          -ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
          -เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
          -ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
          -มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต



     
    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น